ศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี :) |
สถานที่ ที่รวมเรื่องราวของชาวไทยเชื้อสายจีนไว้แน่นทุกตรารางนิ้ว รับรู้ถึงแรงศัทธาความเคารพต่อศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่ผู้คนต้องแวะเวียนมากราบไหว้ขอพร และตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามและยิ่งใหญ่ของมังกรสวรรค์
ศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยแต่เดิมน่าจะเป็นอาคารทรงไทย ภายในประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์สององค์คู่กัน สลักจากหินสีเขียว สวมหมวกทรงกระบอกศิลปกรรมสมัยลพบุรี ศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี ตั้งอยู่ในเขตเมืองโบราณสุพรรณบุรี ถนนมาลัยแมน ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี
เป็นพุทธปฎิมากรรมสลักบนแผ่นหินแบบนูนต่ำ (Relief) ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งเป็นศาสนาที่ชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ทิเบต ญวน เขมร นับถือ เป็นศิลปะแบบขอมเป็นรูปพระวิษณุกรรมสวมหมวกแขก ในศิลปะไพรกเม็ง อายุประมาณ 1300-1400 ปีมาแล้ว มีพระนามว่าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ พระนารายณ์สี่กร มีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ และเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ประสพแต่ความสุขความเจริญ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม ตามคำบอกเล่าต่อๆกันมา เมื่อประมาณ 150 ปีมาแล้ว มีผู้พบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จมดินอยู่ตรงริมศาลเจ้าพ่อ ชาวบ้านจึงช่วยกันอัญเชิญขึ้นข้างบน พร้อมกับสร้างศาลใหม่ให้เป็นที่ประทับ มีคนจีนชื่อ เฮียกงเป็นผู้ดูแลเรื่อยมา
ด้านในกำแพงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ตัวศาลในสมัยเก่ามีลักษณะดังในภาพนี้
บริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีสมัยเก่า มีประตูทางเข้าและมีกำแพงล้อมรอบ
และบริเวณใกล้เคียงยังไม่มีบ้านผู้คนเป็นเพียงทุ่งโล่งๆ ดังในภาพ.
และบริเวณใกล้เคียงยังไม่มีบ้านผู้คนเป็นเพียงทุ่งโล่งๆ ดังในภาพ.
พระนารายณ์องค์ด้านขวามือ (ที่จริงมี ๒ องค์ในแผ่นดียวกัน อีกองค์หนึ่งคือพระอิศวร) ที่สลักจากแผ่นหินสีเขียว
ภาพนี้ถ่ายจากองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่ที่บูชาภายในศาลเจ้าครั้งดั้งเดิม.
ภาพนี้ถ่ายจากองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่ที่บูชาภายในศาลเจ้าครั้งดั้งเดิม.
พระนารายณ์สององค์คู่ ประดิษฐานอยู่ในศาลเจ้าพ่อสุพรรณบุรี จนถึงปัจจุบันนี้
เมื่อครั้งโบราณมีคำกล่าวว่า " ห้ามเจ้าไปเมืองสุพรรณจะทำให้มีอันเป็นไป "
เมื่อ พ.ศ. 2435 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณ ได้ทรงสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง ได้ประทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างศาลเพิ่มขึ้น พร้อมวางแผนให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองสุพรรณ พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระดำรัสว่า "เข้าทีดีหนักหนา แต่เขาไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ ว่าถ้าขืนไปจะเป็นบ้าไม่ใช่หรือ" สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าไปมาแล้วไม่เห็นเป็นอะไร ยังรับราชการมาจนบัดนี้ พระพุทธเจ้าหลวงทรงตรัสสั้นๆว่า "ไปซิ" จากนั้นพระองค์จึงเสด็จมาเมืองสุพรรณ ในคราวเสด็จประพาสต้นเมื่อ พ.ศ. 2447 และทรงกระทำพลีกรรมเจ้าพ่อหลักเมือง และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อสร้างเขื่อนรอบเนินศาล ทำชานไว้สำหรับคนที่บูชา สร้างกำแพงแก้ว ต่อตัวศาลเพิ่มเติมออกมา ข้างหน้าเป็นแบบเก๋งจีน โดยทั่วไปศาลหลักเมืองนั้นจะทำด้วยไม้ บนยอดจะเป็นหัวเม็ด แต่หลักเมืองของสุพรรณนี้พิเศษกว่าหลักเมืองทั่วไปคือ จะเป็นหินและมีพุทธปฎิมากรอยู่ด้วย
เมื่อ พ.ศ. 2435 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณ ได้ทรงสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง ได้ประทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างศาลเพิ่มขึ้น พร้อมวางแผนให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองสุพรรณ พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระดำรัสว่า "เข้าทีดีหนักหนา แต่เขาไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ ว่าถ้าขืนไปจะเป็นบ้าไม่ใช่หรือ" สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าไปมาแล้วไม่เห็นเป็นอะไร ยังรับราชการมาจนบัดนี้ พระพุทธเจ้าหลวงทรงตรัสสั้นๆว่า "ไปซิ" จากนั้นพระองค์จึงเสด็จมาเมืองสุพรรณ ในคราวเสด็จประพาสต้นเมื่อ พ.ศ. 2447 และทรงกระทำพลีกรรมเจ้าพ่อหลักเมือง และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อสร้างเขื่อนรอบเนินศาล ทำชานไว้สำหรับคนที่บูชา สร้างกำแพงแก้ว ต่อตัวศาลเพิ่มเติมออกมา ข้างหน้าเป็นแบบเก๋งจีน โดยทั่วไปศาลหลักเมืองนั้นจะทำด้วยไม้ บนยอดจะเป็นหัวเม็ด แต่หลักเมืองของสุพรรณนี้พิเศษกว่าหลักเมืองทั่วไปคือ จะเป็นหินและมีพุทธปฎิมากรอยู่ด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
พ.ศ. ๒๔๗๘ กรมศิลปากรได้ ประกาศ ขึ้นทะเบียนศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ กับเจ้าพระยายมราช ทรงสนพระทัยในการปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนี้เพิ่มเติมขึ้นอีก สร้างกำแพงล้อมเขตเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีประตูเข้าด้านหน้า มีศาลาพักคนบูชาฃ
เจ้าพระยายมราช
พ.ศ. ๒๕๐๗ คณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมืองได้ปรับปรุงซ่อมแซมศาลหลักเมืองใหม่ แต่ยังคงรูปแบบอาคารซึ่งเป็นอาคารทรงไทยไว้ หลังจากนั้นก็มีการซ่อมแซมก่อสร้างปรับปรุงเรื่อยมา
ต่อมาในภายหลังศาลเจ้าพ่อหลักเมืองชำรุดทรุดโทรมลงไป นายบรรหาร ศิลปอาชาพร้อมด้วยคณะกรรมการ จึงได้ปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองขึ้นมาอีกให้กว้างขึ้น โดยสร้างอาคารแบบจีนคลุมศาลเก่าเอาไว้
อาคารที่เป็นจุดเด่นที่สุด ในบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี
คือ อาคารรูปมังกรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวถึง ๑๓๕ เมตร สูง๓๕ เมตร กว้าง ๑๘ เมตร
ภายในตัวมังกรนี้เป็นห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์ อารยะธรรมของชาวจีน ย้อนหลังไปถึง 5พันปี
คือ อาคารรูปมังกรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวถึง ๑๓๕ เมตร สูง๓๕ เมตร กว้าง ๑๘ เมตร
ภายในตัวมังกรนี้เป็นห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์ อารยะธรรมของชาวจีน ย้อนหลังไปถึง 5พันปี
ประตูทางเข้า - ออกศาลเจ้าพ่อหลักเมือง
หอระฆังมหามงคล ตั้งอยู่ตรงกลางลานหน้าอาคาร เทียนอันหมิน (เป็นอาคาร ๓ ชั้น)
ระฆังลูกนี้มีชื่อว่าระฆังมหามงคล เป็นระฆังใหญ่มีน้ำหนักมากเกือบ ๓,๐๐๐ กิโล
ประชาชนที่เข้ามาที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนี้ มักจะมาเคาะระฆังใบนี้เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัวด้วย
ระฆังลูกนี้มีชื่อว่าระฆังมหามงคล เป็นระฆังใหญ่มีน้ำหนักมากเกือบ ๓,๐๐๐ กิโล
ประชาชนที่เข้ามาที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองนี้ มักจะมาเคาะระฆังใบนี้เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัวด้วย
...................................................................................................................................
แผนที่การเดินทาง :)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 035-521690
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สุพรรณบุรี ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองสุพรรณ จ.สุพรรณบุรี ๗๒๐๐๐
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สุพรรณบุรี ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองสุพรรณ จ.สุพรรณบุรี ๗๒๐๐๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น